ผศ.บุญศักดิ์ สมบุญรอด
สาขาวิชาเทคโนโลยีเครื่องเรือนและออกแบบ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เครื่องเรือน หมายถึง เครื่องตกแต่งบ้านพักอาศัยหรืออาคารมีประโยชน์ใช้สอย มีความสะดวกสบายในการใช้ เครื่องเรือนในสมัยก่อนมีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำรงชีพ แต่ในปัจจุบันเครื่องเรือนยิ่งมีบทบาทมากขึ้นทุกขณะ สนองความสุขทางกายและใจ อันจะมีผลต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานโดยตรง
ลักษณะของไม้ธรรมชาติ
ไม้เป็นวัสดุที่มนุษย์รู้จักนำมาใช้ผลิตเครื่องมือ เฟอร์นิเจอร์ ที่พักอาศัย ตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบัน จนไม่สามารถนับได้ว่านำมาใช้กันนานเท่าใด อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์เกิดมาก็รู้จักกับไม้ ไม้ที่โค่นออกมาจากป่าเรียกว่า “ซุง” เมื่อนำมาทำการเลื่อยหรือแปรรูปแล้ว เราเรียกว่า “ไม้แปรรูป” ซึ่งมีขนาดต่าง ๆ กันตามความต้องการของผู้ใช้ หรือหน้าที่ในการใช้งานที่เหมาะสม ไม้ที่ใช้กันทั่วไปมีการจัดแบ่งไม้แปรรูปด้วยการรับน้ำหนักและความทนทานตามธรรมชาติของไม้ชนิดนั้น ๆ เป็นเกณฑ์ โดยจำแนกไม้ออกเป็น 3 ชนิด คือ ไม้เนื้ออ่อน ไม้เนื้อปานกลาง และไม้เนื้อแข็ง
เนื้อไม้ธรรมชาติแบ่งตามลักษณะของการรับน้ำหนักและความทนทานดังนี้
1) ไม้เนื้ออ่อน ส่วนใหญ่เนื้อไม้ค่อนข้างหยาบ มีน้ำหนักเบา ผุง่าย หดตัว บิดและร้าวค่อนข้างมาก ปลวกชอบทำลาย เหมาะที่จะใช้กับงานชั่วคราว และงานที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมากนัก ซึ่งมีอยู่มากมาย ไม้เนื้ออ่อนที่นิยมใช้กันทั่วไปในปัจจุบันมี
ไม้จำปาป่า (Michelia champaca linn) น้ำหนักประมาณ 620-700 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร เนื้อไม้มีสีน้ำตาลอมเหลือง เป็นมันวาว เสี้ยนตรง เหนียวดี ไสแต่งง่าย ไม่ค่อยหด บิดตัว เหมาะที่จะใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ทำไม้บาง
ไม้แดงน้ำ (Acrocarpus fraxinifolis W&A) น้ำหนักประมาณ 650-700 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร เนื้อไม้มีสีแดงอ่อน มันวาว เนื้อหยาบปานกลางเสี้ยนเป็นคลื่น เหมาะที่จะใช้กับงานชั่วคราวทั่ว ๆ ไป หรือใช้งานในร่ม
ไม้มะม่วงป่า (Mangifera floribunda kurz) น้ำหนักประมาณ 650-700 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อนๆ มีริ้วสีน้ำตาลเข้ม เสี้ยนตรงค่อนข้างหยาบ ไสแต่งง่าย เหมาะที่จะทำเฟอร์นิเจอร์แผ่นหน้าไม้อัดเพราะมีลายสวยงาม
ไม้ยมหอม (Cedrela toona roxb) น้ำหนักประมาณ 400-450 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะเนื้อไม้สีแดงอ่อนถึงสีอิฐแก่เป็นมันเลื่อม กลิ่นหอม เสี้ยนตรงและสม่ำเสมอ น้ำหนักเบา เนื้ออ่อนเหนียว ไสแต่งง่าย เหมาะที่จะใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และงานฝีมือต่าง ๆ
ไม้ร่มม้า (ซ้อ) (Gmelina arborea) น้ำหนักประมาณ 400-450 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร เนื้อไม้สีขาวละเอียด เสี้ยนตรง ผึ่งแห้งแล้วอยู่ตัวดี กลิ่นฉุน ไสแต่งง่าย เหมาะที่จะใช้ทำงานเฟอร์นิเจอร์และงานฝีมือต่าง ๆ
ไม้เหียง (Dipterocarpus spp) น้ำหนักประมาณ 650-730 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร เนื้อไม้สีน้ำตาลอมแดง เสี้ยนตรง เหมาะที่จะใช้งานชั่วคราวและงานในร่ม
ไม้ยาง (Diptocarpus spp) น้ำหนักประมาณ 710-800 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร เนื้อไม้สีน้ำตาลอมแดง เนื้อแน่น มียางมาก หดตัวค่อนข้างมาก มีความทนทานตามธรรมชาติเพียง 3.5 ปี เหมาะที่จะใช้งานในร่ม ปัจจุบันนิยมใช้ทำเฟอร์นิเจอร์
2) ไม้เนื้อปานกลาง เป็นไม้ที่จัดเข้าประเภทไม้เนื้อแข็งไม่ได้ แต่คุณภาพดีกว่าไม้เนื้ออ่อน ยืดและหดตัวน้อย บางชนิดทนต่อสภาพอากาศดีเท่ากับไม้เนื้อแข็ง จึงเหมาะที่จะใช้ทำเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ทั่วไป ไม้เนื้อปานกลางที่นิยมใช้ ได้แก่
ไม้สัก (Tectona grandis Linn.f.) น้ำหนักประมาณ 650-850 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะของเนื้อไม้แยกออกเป็น 3 ชนิด คือ
* ไม้สักทอง เป็นไม้ที่มีคุณภาพดีที่สุด ลักษณะเนื้อไม้จะมีสีเหลืองทอง เมื่อทิ้งไว้นานจะเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลแก่ เสี้ยนตรงมีเส้นแทรกสีเข้มเล็กน้อย ทำให้เห็นเส้นลายตามธรรมชาติ สวยงามมาก ไม้สักจึงเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไป โดยเฉพาะใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ คือ เนื้อไม้จะมีน้ำมันในตัว ปลวกและมอดไม่ทำลาย ทนต่อสภาพอากาศดีมาก ผึ่งแห้งแล้วอยู่ตัวดี ไสแต่งง่าย ทาสีธรรมชาติแล้วจะสวยงามมากว่าไม้ชนิดอื่น
* ไม้สักขี้ควาย สีค่อนข้างไปทางดำและเนื้อหยาบเล็กน้อย ไสง่ายรับน้ำหนักได้น้อยกว่าไม้สักทอง สีและความสวยงาม
จะลดลงไปเล็กน้อยกว่าไม้สักทอง
* ไม้สักหิน เนื้อละเอียด แน่น มีสีดำและมีน้ำหนักมากกว่าไม้สักทองและสักขี้ควาย ไสแต่งยากและความสวยงามด้อย
กว่าไม้สักขี้ควาย
ไม้อินทนิน (Lagerstroemia flos-reginae retz) น้ำหนักประมาณ 830-900 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะเนื้อไม้มีสีแดงเรื่อ ๆหรือสีชมพูอ่อน เมื่อทิ้งไว้นานจะเป็นสีน้ำตาลอมแดง เสี้ยนตรงเนื้อละเอียดเป็นมันไสแต่งก็ง่าย ทาน้ำมันได้สวยงามเหมาะที่จะใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และงานก่อสร้างที่อยู่ในร่ม
ไม้ตะแบก (Lagerstroemia calyculata kurz) น้ำหนักประมาณ 750-800 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะเนื้อไม้มีสีเทาหรือน้ำตาลอมเทา เสี้ยนตรงหรือเกือบตรง เนื้อละเอียดปานกลาง เหนียว ไสแต่งง่าย เหมาะที่จะใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ทำพื้นปาเก้ งานก่อสร้างที่อยู่ในร่มและด้ามเครื่องมือกสิกรรม
ไม้โมกมัน (Wrightia tomentosa ROEM & SCHULTES ) น้ำหนักประมาณ 630-680 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะเนื้อไม้มีสีขาวนวล เสี้ยนตรง เนื้อละเอียดสม่ำเสมอ ไสแต่งง่าย เหมาะที่จะใช้ทำเฟอร์นิเจอร์หรืองานประณีต นอกจากนี้ยังนิยมใช้ในงานแกะสลักและงานศิลปะที่มีความละเอียดอ่อน
ไม้ยมหิน (Chukresia valutina W&A) น้ำหนักประมาณ 630-750 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะเนื้อไม้มีสีน้ำตาลอมเหลือง เป็นมัน เสี้ยนตรง เนื้อละเอียดและสม่ำเสมอ เหมาะที่จะใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และงานที่ประณีตทั่วไป
3) ไม้เนื้อแข็ง ส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักมาก เนื้อแน่น แข็งแรงและเหนียว มีทั้งเนื้อหยาบจนถึงเนื้อละเอียด บางชนิดเสี้ยนตรง แต่ส่วนมากเสี้ยนจะสับสน การไสแต่งการเลื่อยค่อนข้างยาก ทนต่อสภาพอากาศ ใช้กับงานก่อสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมาก ๆ ได้ดี แต่บางชนิดทำเฟอร์นิเจอร์ก็สวยงามมาก น้ำหนักค่อนข้างหนัก ไม้เนื้อแข็งที่นิยมใช้ได้แก่
ไม้แดง (Xylia kerri Craib) น้ำหนักประมาณ 960-1,100 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะเนื้อไม้มีสีแดงเรื่อ ๆ หรือน้ำตาลอมแดงเนื้อละเอียดแข็งเหนียว เสี้ยนจะเป็นคลื่น ยืดและหดตัวน้อย แมลงไม่ค่อยรบกวน ติดไฟยาก ไสแต่งค่อนข้างยาก เหมาะที่จะใช้งานก่อสร้างที่รับน้ำหนักมาก ๆ ทำเฟอร์นิเจอร์ก็ได้ ปูปาเก้ก็สวยงาม ทนต่อทุกสภาพอากาศ
ไม้ประดู่ (Plerocarpus macrocarpus Kurz) น้ำหนักประมาณ 960-1,100 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะเนื้อไม้มีสีแดงอมเหลืองถึงแดงอิฐ มีลายเส้นแก่กว่าสีพื้นเล็กน้อย เป็นลาย สีสวย ไสแต่งยาก แข็งแรง ทนทาน ใช้กับงานก่อสร้างได้ดี และใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการแสดงพื้นผิวที่งดงาม โดยเฉพาะปุ่มของไม้ประดู่มีลวดลายสวยงามและมีราคาแพง นิยมใช้ทำเก้าอี้และเครื่องใช้ที่ต้องการความงามเป็นพิเศษ (ต่างประเทศ เรียกว่า โรสวู้ด Rose Wood)
ไม้มะเกลือ (Diosporos moilis GRIFF) น้ำหนักประมาณ 1,154-1,186 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะมีสีเทาเข้ม จนกระทั่งดำสนิท เสี้ยนตรง เนื้อไม้ละเอียด เป็นมันในตัว มีความแข็งมาก นิยมใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ที่มีราคาแพง โดยเฉพาะนำไปประดับมุก นอกจากนี้ยังใช้ทำเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น ลูกคิด ตะเกียบ หมากรุก งานแกะสลัก เครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ เช่น ระนาด เปียโน เป็นต้น
ไม้เต็ง (แงะ) (Shorea obtusa Wall) น้ำหนักประมาณ 960-1,100 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะเนื้อไม้เลื่อยใหม่ ๆ มีสีน้ำตาลอ่อน เมื่อทิ้งไว้นานจะเป็นสีน้ำตาลแกมแดง เนื้อหยาบ เสี้ยนสับสน ไสแต่งยาก แข็งและเหนียว ทนต่อสภาพอากาศ เหมาะกับงานก่อสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมาก ๆ
ไม้รัง (เปา) (Pentacme suavis Adc) น้ำหนักประมาณ 960-1,050 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะและคุณสมบัติใกล้เคียงกับไม้เต็งมาก จนบางครั้งเรียกรวมกันว่า ไม้เต็งรัง เนื้อไม้ละเอียดกว่าไม้เต็งเล็กน้อย ไสง่าย เสี้ยนไม่สับสน เหมาะที่จะใช้ทำวงกบประตู– หน้าต่าง และใช้งานก่อสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมาก ๆ
ไม้มะค่าโมง (Afzelia xylocarpa Craib) น้ำหนักประมาณ 960-1,050 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะเนื้อไม้มีสีน้ำตาลอมเหลือง เสี้ยนหยาบ มีริ้วแทรกเป็นลาย สีสวยมาก แข็งและเหนียว เมื่อเปียก ๆ ไสแต่งยาก แห้งแล้วไสง่าย ใช้กับงานก่อสร้างที่รับน้ำหนักมาก ๆ และใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และพื้นปาเก้
ไม้ตะเคียนทอง (Balanocapus heimii King) น้ำหนักประมาณ 860-950 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะเนื้อไม้มีสีเหลืองหม่น หรือสีน้ำตาลอมเหลือง เนื้อละเอียดปานกลาง แข็งและเหนียว ปลวกมอดไม่ค่อยทำลาย ทนต่อสภาพอากาศได้ดี เหมาะที่จะใช้กับงานก่อสร้างที่รับน้ำหนักมาก ๆ ทำวงกรอบประตูหน้าต่างและใช้ทำเฟอร์นิเจอร์
ไม้พยุงหรือไม้ประดู่ลาย (Dalanocapus hemii Pierre) น้ำหนักประมาณ 1,000-1,200 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะเนื้อไม้สีแดงอมม่วง หรือสีม่วงถึงสีเลือดหมู เป็นมัน สีลายสีเข้มกว่าสีพื้น เนื้อละเอียด เหนียวทนทาน เหมาะที่จะใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และงานแกะสลัก
ไม้ชิงชัน (Dalbergia oliveri Gamble) น้ำหนักประมาณ 1,000-1,200 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลักษณะเนื้อไม้สีม่วงอ่อนจนถึงสีม่วงแดง สีลายเป็นสีแก่กว่าสีพื้น เนื้อละเอียดแข็งและเหนียว ทนทานมาก ใช้กับงานที่รับน้ำหนักมาก ๆ ได้ดี ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ที่แข็งแรง และยังเหมาะที่จะใช้ทำเครื่องมือช่างไม้ เช่น กบไสไม้ ขอขีดไม้ เป็นต้น
ไม้เนื้อแข็ง ไม้เนื้อปานกลาง และไม้เนื้ออ่อน มีความแข็งแรงและความคงทนแตกต่างกัน ดังตารางที่ 1 ดังนี้
ตารางที่ 1 แสดงความแข็งแรงและความทนทานของไม้ชนิดต่าง ๆ ตามธรรมชาติ
ตำหนิของไม้ คือ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในเนื้อไม้ ซึ่งอาจทำให้ไม้ขาดความแข็งแรง ความทนทานและความสวยงาม ตำหนิของไม้ เช่น
ตาไม้ เป็นตำหนิของไม้ชนิดหนึ่งที่พบเห็นกันอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าบางตาอาจจะมีความสวยงาม แต่ก็ทำให้ทิศทางและแนวของเสี้ยนไม้ขาดตอนลง ทำให้เสียความแข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม้ถูกนำไปใช้ในลักษณะที่ต้องรับแรงดึง เช่น ใช้เป็นตงหรือคาน อาจจะทำให้ตาไม้แตกหักได้ง่าย นอกจากจะจัดให้ไม้ส่วนที่มีตานี้รับแรงอัดก็สามารถนำมาใช้งานได้
รอยร้าว เป็นรอยแยกตามเสี้ยนไม้ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวงปี หรือเกิดจากการโค่นไม้ที่ได้รับการกระทบกระแทกอย่างรุนแรง หรือเกิดจากการที่ต้นไม้ถูกพายุพัดโยกแรง ๆ ทำให้เกิดรอยแยกระหว่างวงปีเก่ากับวงปีใหม่ รอยแยกดังกล่าวจะขยายต่อไปตามความยาวของไม้ทำให้ความแข็งแรงหรือความต้านทานต่อแรงเฉือนตามแนวนอนลดลง จึงไม่นิยมใช้กับงานที่รับกำลังมาก ๆ
รอยปริ เป็นรอยแยกตามเสี้ยนไม้เช่นกัน เกิดจากการหดตัวอย่างไม่สม่ำเสมอของไม้ขณะผึ่ง เป็นได้ทั้งปลายไม้ กลางไม้ หรือตลอดแนว ไม้ที่มีรอยปรินั้นจะเสียความแข็งแรงในลักษณะเดียวกันกับไม้ที่มีรอยร้าว คือรับน้ำหนักมาก ๆ ไม่ได้
การผุของไม้ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อรา อันเนื่องมาจากการกองไม้ไม่ถูกวิธี ทำให้ไม้แห้งช้ามาก เกิดเชื้อรา ทำให้ไม้ผุเปื่อย เซลล์ของไม้ขาดการยึดเกาะที่ดี ไม่สามารถรับน้ำหนักได้
การขวางหรือทแยงของเสี้ยนไม้ จะทำให้ขาดความแข็งแรงในเรื่องของการรับน้ำหนักในทางรับแรงดึงและยังทำให้ไม้แตกร้าวบิดงอได้ง่าย
มอดและด้วงป่า เป็นสัตว์ที่เกิดกับต้นไม้และเจาะไม้กินเป็นอาหารตั้งแต่ไม้ยังยืนต้นดีอยู่ เมื่อนำไปเลื่อยก็จะเห็นตำหนิของไม้เป็นรูเล็กบ้างใหญ่บ้างตามขนาดของด้วงหรือหนอนชนิดนั้น ๆ ไม้ที่เป็นรูมอด นอกจากจะขาดความแข็งแรงแล้ว ยังขาดความงามไปด้วยต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับลักษณะของ อาจต้องใช้เทคนิคในการอุด ปะ โดยใช้ไม้ชนิดเดียวกันและสีเดียวกัน ติดกาวให้มีความแข็งแรงก็สามารถใช้ได้
เกิดจากมนุษย์หรือเครื่องมือกล ตำหนิซึ่งเกิดจากการเลื่อย การเจาะหรือผ่าไม้โดยไม่ตั้งใจ เป็นการทำงานที่ผิดพลาด หรือการใช้เครื่องมือที่ไม่ถูกต้อง เช่น ไสไม้ย้อนเสี้ยนโดยใช้กบไม่ถูกวิธี ทำให้ไม้ถก ฉีกออกจนเป็นตำหนิ การเลื่อยบาก เจาะผิดข้างทำให้ต้องปะหรืออุด ทำให้เป็นตำหนิได้เช่นกัน
ไม้ทำเฟอร์นิเจอร์
การเลือกไม้เพื่อทำเฟอร์นิเจอร์ต้องพิจารณาถึงความสวยงามค่อนข้างมาก ต้องเป็นไม้ที่แห้ง เสี้ยนตรง ไม่มีรู ตาไม้ รอยแตกร้าวไม่มีกระพี้ไม้ อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาถึงลักษณะของงานและส่วนที่ต้องใช้ไม้นั้นด้วย เนื่องจากเราไม่สามารถเลือกใช้แต่ไม้ดี ๆ ได้ทั้งหมดจำเป็นต้องเอาไม้ที่ดีรองลงไปมาใช้ร่วมด้วยในส่วนที่อยู่ภายในหรือส่วนที่มองไม่เห็น งานในส่วนที่ต้องโชว์ลักษณะไม้ ได้แก่ ส่วนที่มองเห็นชัดเจน เช่น พื้นโต๊ะ หน้าตู้ หน้าลิ้นชัก เป็นต้น ต้องเลือกใช้ไม้ที่มีความสวยงาม เส้นลายไม้ตรง สีสวย ไม่มีตาไม้หรือรอยแตกร้าว ถ้าจำเป็นต้องเพลาะไม้เป็นแผ่นใหญ่ ต้องให้ลายไม้เรียงกันไปในลักษณะเดียวกัน หรือถ้าเป็นงานที่ต้องใช้ไม้ในแนวตั้ง ก็ให้เอาลายไม้ที่มีรูปร่างแหลมตั้งขึ้นให้เหมือนกัน จะช่วยทำให้เกิดความสวยงาม มีระเบียบและส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกว่าแข็งแรงดีไปด้วย ถ้ากลับเอาลายไม้ที่มีมุมแหลมเล็กลงด้านล่าง จะทำให้บานตู้นั้นหมดคุณค่าด้านความสวยงามไปอย่างมาก.